เวียดนามระงับเที่ยวบินขาเข้าระหว่างประเทศ

พุธที่ 2 ธันวาคม 2563 เวลา 07.34 น. เดลินิวส์

รัฐบาลเวียดนามระระงับเที่ยวบินพาณิชย์ขาเข้าระหว่างประเทศ เป็นครั้งที่ 2 แล้วในปีนี้ หลังพบการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จากภายในชุมชน ที่เมืองโฮจิมินห์

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ว่านายกรัฐมนตรีเหวียน ซวน ฟุก มีคำสั่งเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ให้ระงับเที่ยวบินพาณิชย์ขาเข้าระหว่างประเทศสู่สนามบินทุกแห่งในเวียดนาม เริ่มตั้งแต่สัปดาห์นี้ “จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง” โดยจะอนุญาตเฉพาะเที่ยวบินซึ่งนำพลเมืองเวียดนามกลับจากต่างประเทศเท่านั้น

ทั้งนี้ รัฐบาลเวียดนามเคยใช้มาตรการแบบนี้มาแล้วเมื่อกลางเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกแรกของโรคโควิด-19 และเริ่มผ่อนคลายเมื่อเดือนก.ย. ที่ผ่านมา แต่อนุญาตเฉพาะเที่ยวบินพาณิชย์ขาออกไปยังจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ลาว กัมพูชา และไทย ในขณะสายการบินสัญชาติเวียดนามยังไม่สามารถให้บริการเที่ยวบินขาเข้าจากต่างประเทศได้ เนื่องจากภาครัฐยังอยู่ระหว่างการหารือเพื่อจัดทำแนวทางปฏิบัติเรื่องการกักตัวสำหรับชาวต่างชาติ ให้มีผลในระดับเดียวกัน

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของทางการเวียดนามเกิดขึ้นหลังมีการยืนยัน พบผู้ป่วยโรคโควิด-19 จากภายในประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน ที่เมืองโฮจิมินห์ โดยจุดเริ่มต้นมาจาก “ผู้ป่วยคนที่ 1,342” ซึ่งเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของเวียดนาม แอร์ไลน์ส เดิมทีผู้ป่วยซึ่งเป็นชายอายุ 28 ปี กักตัวจนครบกำหนดในสถานกักตัวของรัฐ แลผลตรวจทั้งสองครั้งยืนยันว่าไม่มีเชื้อ แต่หลังจากนั้นต้องกักตัวต่อที่บ้านอีกระยะหนึ่งตามกฎ

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยกลับพบกับมารดาและเพื่อนอีก 2 คน หนึ่งในนั้นได้รับเชื้อจากผู้ป่วยคนที่ 1,342  และนับเป็น “ผู้ป่วยคนที่ 1,347” โดยเป็นชายสัญชาติเวียดนาม อายุ 32 ปี ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่เขต 6 ของเมืองโฮจิมินห์ ประกอบอาชีพครูสอนภาษาอังกฤษ แล้วต่อจากนั้น ผู้ป่วยคนที่ 1,347 พบกับบุคคลอื่นอีก ส่งผลให้หญิงอายุ 28 ปี ซึ่งมาเรียนภาษาอังกฤษกับผู้ป่วยรายนี้่ ติดเชื้อไปด้วย และเด็กอายุ 14 เดือน ซึ่งเป็นหลานของผู้ป่วยคนที่ 1,347

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้ตอนนี้ สถิติผู้ป่วยสะสมจากโรคโควิด-19 ของเวียดนาม เพิ่มเป็นอย่างน้อย 1,351 คน รักษาหายแล้ว 1,195 คน และเสียชีวิตสะสมเป็นจำนวนอย่างน้อย 35 คน.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES

Cr: เดลินิวส์