อังคารที่ 15 ตุลาคม 2562 เวลา 08.30 น. เดลินิวส์

รัฐบาลมาเลเซียกำลังศึกษา “อย่างใกล้ชิด” และประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ หากอินเดียระงับนำเข้าปาล์มน้ำมันและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง จากกรณีดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด วิจารณ์นโยบายเรื่องแคชเมียร์ของรัฐบาลนิวเดลี
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 15 ต.ค.ว่าดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวเมื่อวันจันทร์ ว่าเขาได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์การค้าระหว่างมาเลเซียกับอินเดีย “อย่างใกล้ชิดที่สุด” ขณะเดียวกันต้องมีการวิเคราะห์ คาดการณ์ และประมวลผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการค้าใดก็ตามของรัฐบาลนิวเดลีด้วย เนื่องจากความร่วมมือทางการค้าระหว่างทั้งสองประเทศเป็นแบบสองทาง คือค้าขายซึ่งกันและกัน โดยอินเดียเป็นประเทศผู้บริโภคน้ำมันพืชรายใหญ่ที่สุดของโลก และนำเข้าปาล์มน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวข้องจากมากมาเลเซียมากที่สุด โดยสถิติในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้สูงถึง 3.9 ล้านตัน ส่วนมาเลเซียนำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เคมีภัณฑ์และเนื้อสัตว์แช่แข็งหลายชนิดจากอินเดีย
ท่าทีดังกล่าวของผู้นำมาเลเซียมีขึ้นท่ามกลางกระแสข่าวว่า อินเดียอาจระงับนำเข้าน้ำมันปาล์มและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องจากมาเลเซีย เพื่อตอบโต้สุนทรพจน์ของดร.มหาเธร์ ซึ่งกล่าวต่อที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ( ยูเอ็นจีเอ ) ที่นครนิวยอร์ก เมื่อปลายเดือนที่แล้ว มีเนื้อหาตอนหนึ่งประณามมาตรการของรัฐบาลนิวเดลีต่อรัฐชัมมูและกัศมีร์ หรือภูมิภาคแคชเมียร์ภายใต้อธิปไตยของอินเดีย ที่เป็นความต้องการ “รุกรานและยึดครอง” จากการยกเลิกสถานะพิเศษของรัฐชัมมูและกัศมีร์ เมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ คำกล่าวของดร.มหาเธร์สร้างความไม่พอใจอย่างหนักให้กับสังคมอินเดีย โดยบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ถึงขั้นมีแฮชแท็ก #BoyCottMalaysia ด้านโลกโซเชียลของมาเลเซียเรียกร้องรัฐบาลออกมาตรการตอบโต้ในระดับเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ดร.มหาเธร์ยืนยันว่า นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ยังไม่ได้แสดงท่าทีตอบสนองต่อคำกล่าวของเขาบนเวทียูเอ็นจีเอไม่ว่าจะเป็นเชิงลบหรือเชิงบวก และยืนยันว่าคำกล่าวของเขาเป็นเพียง “การแสดงความคิดเห็น” แต่ยอมรับว่ารัฐบาลต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ปัจจุบันมาเลเซียเป็นประเทศผู้ส่งออกปาล์มน้ำมันรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกรองจากอินโดนีเซีย.
CR: เดลินิวส์
