เสาร์ที่ 12 ตุลาคม 2562 เวลา 08.08 น. เดลินิวส์

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง พบหารือกับนายกรัฐมนตรีนเรทรา โมดี ที่อินเดีย ในหลายประเด็นที่รวมถึงสถานการณ์ในแคชเมียร์ที่จีนมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ไม่เฉพาะแต่ปากีสถาน และการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างกัน
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองเจนไน ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 12 ต.ค. ว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน เยือนอินเดียเมื่อวันศุกร์ เพื่อพบกับนายกรัฐมนตรีนเรทรา โมดี ที่เมืองมหาบาลีปุรัม ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองโบราณ ตั้งอยู่ในรัฐทมิฬนาฑู ทางตอนใต้ของอินเดีย แม้บรรยากาศของการหารือครั้งนี้ถือว่า “ยังไม่เป็นทางการ” อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าผู้นำของทั้งสองประเทศเห็นพ้องเรื่อง “ความท้าทายจากแนวคิดหัวรุนแรง” ที่กำลังแพร่ขยายอย่างรวดเร็วในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่อินเดียและจีนเป็นประเทศซึ่งมีขนาดใหญ่ เรื่องนี้เป็นหนึ่งในวาระเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข เพื่อไม่ให้ส่งกระทบต่อ “ความหลากหลาย” ในโครงสร้างทางสังคมของทั้งสองประเทศ ซึ่งมีกลุ่มชาติพันธุ์หลายชนชาติอาศัยอยู่ร่วมด้วย
อย่างไรก็ตาม การเยือนอินเดียของสีในครั้งนี้เกืดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดรอบใหม่ระหว่างรัฐบาลนิวเดลีกับปากีสถาน จากประเด็นข้อพิพาทเรื่องแคชเมียร์ ที่สองประเทศมหาอำนาจในเอเชียใต้ต่างอ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนทั้งหมด ดังนั้นการที่อินเดียประกาศยกเลิกสถานะพิเศษของรัฐชัมมูและกัศมีร์ เมื่อเดือนส.ค. ที่ผ่านมา จึงสร้างความไม่พอใจอย่างหนักให้แก่ปากีสถาน ในขณะที่การเตรียมแบ่งภูมิภาคแคชเมียร์ในอินเดียออกเป็น 2 รัฐใไม่ยังมีอาณาเขตบางส่วนทับซ้อนพื้นที่พิพาทกับจีน คือเขตลาดักห์อีกด้วย
ทั้งนี้ ในระหว่างการพบหารือกับนายกรัฐมนตรีอิมราน ข่าน ผู้นำปากีสถาน ที่กรุงปักกิ่ง เพียงไม่กี่วันก่อนการเยือนอินเดีย ผู้นำจีนสนับสนุน “สิทธิอันชอบธรรม” ของปากีสถานในเรื่องแคชเมียร์ แต่กระทรวงการต่างประเทศอินเดียออกแถลงการณ์ในช่วงที่สียังอยู่ในประทศว่า “ประเทศที่สามไม่ควรยุ่มย่ามกิจการภายในของรัฐบาลนิวเดลี” อนึ่ง ภูมิภาคแคเชียร์ภายใต้อธิปไตยของปากีสถานเป็นหนึ่งในเส้นทางเป้าหมายของโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน
กระนั้นบรรยากาศของการพบหารือระหว่างสีกับโมดีในครั้งนี้ในภาพรวม “ดูผ่อนคลายและเป็นไปอย่างฉันมิตร” โดยผู้นำอินเดียพาผู้นำจีนเที่ยวชมสถานที่สำคัญทางศาสนาและประวัติศาสตร์หลายแห่งในเมืองมหาบาลีปุรัม และถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึกด้วย.
เครดิตภาพ : REUTERS, AFP
CR: เดลินิวส์
