เลขาฯ ยูเอ็นชี้ “โลกจะไร้เบรกหยุดสงครามนิวเคลียร์” หลัง 2 ชาติ ‘ฉีกสัญญา’

Aug 2, 2019. Last update Aug 2, 2019 21:43

รัฐบาลสหรัฐฯ ถอนตัวจากสนธิสัญญาขีปนาวุธนิวเคลียร์ฯ อย่างเป็นทางการ หลังจากที่ลงนามร่วมกับรัสเซียช่วงสงครามเย็น ทำให้เลขาธิการใหญ่ยูเอ็นเกรงว่าจะเกิดการแข่งขันสะสมอาวุธนิวเคลียร์รอบใหม่ ส่งผลต่อความมั่นคงของประชาคมโลก

อันตอนิอู กูแตร์รีช เลขาธิการใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UN) แสดงความวิตกกังวลกรณีรัฐบาลสหรัฐอเมริกาถอนตัวจากสนธิสัญญาอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง หรือ INF (Intermediate-Range Nuclear Forces Treaty) อย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยที่รัฐบาลรัสเซียก็แถลงเช่นกันว่า จะเดินหน้าพัฒนาขีปนาวุธนิวเคลียร์อีกครั้ง เพราะข้อผูกพันต่างๆ ของสนธิสัญญา INF ถือเป็นอันสิ้นสุดเมื่อสหรัฐฯ ถอนตัว

ทางด้าน ไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ว่า รัสเซียเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวที่สนธิสัญญานี้ถึงจุดสิ้นสุด โดยเขาอ้างถึงรายงานขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ที่ระบุว่ามีหลักฐานบ่งชี้กรณีรัสเซียพัฒนาขีปนาวุธ 9M729 หรือ SSC-8 ซึ่งมีพิสัยยิงระหว่าง 500-5,500 กิโลเมตร เข้าข่ายละเมิดข้อตกลงในสนธิสัญญา INF สหรัฐฯ จึงต้องถอนตัว พร้อมประกาศว่าจะเริ่มพัฒนาขีปนาวุธพิสัยกลางอีกครั้งเช่นกัน

ท่าทีของทั้งสองประเทศมหาอำนาจทำให้เลขาธิการใหญ่ของยูเอ็นเตือนว่า ถ้าหากมีการแข่งขันสะสมขีปนาวุธเกิดขึ้นจริง จะทำให้โลกไร้เบรกที่จะหยุดยั้งสงครามนิวเคลียร์ในอนาคต พร้อมเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศระงับแผนพัฒนาขีปนาวุธ และต้องกลับสู่กระบวนการเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อยึดมั่นในแนวทางการควบคุมอาวุธระหว่างประเทศ

กูแตร์รีชยังได้เตือนไปถึงประเทศสมาชิกสหประชาชาติอื่นๆ ด้วยว่า การแข่งกันสะสมอาวุธนิวเคลียร์จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์ระหว่างประเทศยิ่งทวีความตึงเครียด และอาจนำไปสู่การปะทุความรุนแรง เพราะในช่วงที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างประเทศมหาอำนาจ 2 ขั้วอย่างสหรัฐฯ และจีนอยู่ก่อนแล้ว หลังจากทั้งสองประเทศประกาศมาตรการกีดกันทางการค้าและขึ้นภาษีนำเข้า-ส่งออก จนกลายเป็น ‘สงครามการค้า’ ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก

A nuclear museum staffer cleans, 19 October the first Soviet nuclear bomb, tested in 1949 in Sarov (behind sits the 1st thermonuclear bomb). Sarov, a town of some 84,000 inhabitants, surrounded by a tightly guarded no-man’s- land with three barbed wire fences to keep the curious away from Russia’s nuclear secrets, lies near the Volga city of Nizhny Novgorod, about 450 kilometers (280 miles) east of Moscow. (Photo by ALEXANDER NEMENOV / AFP)

คำเตือนของกูแตร์รีชตรงกับการประเมินของพาเวล เฟลเกนเฮาเออร์ นักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญด้านรัสเซียและการทหาร ซึ่งเปิดเผยกับเอเอฟพีว่า เมื่อสนธิสัญญา INF สิ้นสุดลง ประเทศมหาอำนาจจะพร้อมใจกันกระโดดเข้าสู่การแข่งขันสะสมขีปนาวุธรอบใหม่ แต่จะไม่ได้มีแค่สหรัฐฯ และรัสเซียเหมือนในอดีต แต่รวมไปถึง ‘จีน’ ด้วย ทั้งยังจะส่งผลให้ประเทศอื่นๆ มีข้ออ้างในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์เพิ่มเติม

ทั้งนี้ สนธิสัญญา INF เป็นการลงนามร่วมกันระหว่างนายโรนัลด์ เรแกน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายมิฮาอิล กอร์บาชอฟ อดีตผู้นำสหภาพโซเวียต เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.1987 ขณะที่ปัจจุบันพบว่า 9 ประเทศยังมีขีปนาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง ได้แก่ รัสเซีย สหรัฐฯ ฝรั่งเศส จีน อังกฤษ อิสราเอล ปากีสถาน อินเดีย และเกาหลีเหนือ

นอกจากนี้ยังมีรายงานด้วยว่าสหรัฐฯ ส่งออกเทคโนโลยีนิวเคลียร์ไปยังซาอุดีอาระเบียช่วงปีที่ผ่านมา ส่วนอิหร่านก็ประกาศว่าจะเดินหน้าพัฒนาโครงการอาวุธนิวเคลียร์ พร้อมทั้งเร่งกำลังผลิตยูเรเนียมเข้มข้น หลังจากสหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านเมื่อเดือน พ.ค. 2018 

ที่มา: BBC/ The Guardian/ Reuters/ VOX

CR:VoiceTV