
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2025 ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนเข้าร่วมพิธีส่งมอบเจ้าภาพการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 32 ณ เมืองคยองจู ประเทศเกาหลีใต้ พร้อมประกาศว่า การประชุมสุดยอดผู้นำ APEC ครั้งที่ 33 จะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2026 ณ เมืองเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้ง ถือเป็นครั้งที่สามของจีนในการเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมฯ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี ที่จีนได้กลับมารับบทเจ้าภาพ APEC และเป็นครั้งที่สามในประวัติศาสตร์ต่อจาก เซี่ยงไฮ้ (2001) และ ปักกิ่ง (2014)
“เซินเจิ้น” ถือเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของจีนในการนำเสนอ “หน้าตาใหม่ของประเทศ” ต่อสายตาโลก เมืองที่เคยเป็นหมู่บ้านชาวประมงเมื่อกว่า 40 ปีก่อน บัดนี้กลายเป็นมหานครเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลก ในฐานะเมืองเศรษฐกิจอันดับสามของจีน ช่วงสามไตรมาสแรกของปีนี้ มูลค่าการนำเข้า–ส่งออกสะสมของเมืองเซินเจิ้นยังคงครองอันดับหนึ่งในบรรดาเมืองการค้าต่างประเทศของจีน อยู่ที่ 3.36 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยการส่งออกอยู่ที่ 2.04 ล้านล้านหยวน ลดลง 4.7% ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 1.32 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้น 8.4% และมีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศกับประเทศสมาชิกในกลุ่ม APEC ที่สำคัญ ได้แก่ ฮ่องกง 5.61 แสนล้านหยวน ไต้หวัน 3.72 แสนล้านหยวน สหรัฐอเมริกา 3.17 แสนล้านหยวน เกาหลีใต้ 1.84 แสนล้านหยวน ญี่ปุ่น 1.59 แสนล้านหยวน และเม็กซิโก 4.79 หมื่นล้านหยวน อาเซียน 5.32 แสนล้านหยวน (มีเพียงบางประเทศที่อยู่ในกลุ่ม APEC ได้แก่ บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม) ทำให้เห็นว่า เซินเจิ้นมีเครือข่ายการค้ากับประเทศสมาชิกในกลุ่ม APEC อย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง
การที่รัฐบาลจีนเลือกเซินเจิ้นเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการยกย่องความสำเร็จของเขตเศรษฐกิจพิเศษอายุ 45 ปี แต่ยังเป็นการประกาศต่อโลกว่า “หัวใจของเศรษฐกิจจีนยุคใหม่” อยู่ที่นี่ — เมืองที่เป็นต้นแบบของ “การพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยี” (科技自立自强) และ “การพัฒนาอย่างมีคุณภาพสูง” (高质量发展) ซึ่งเป็นแนวทางเศรษฐกิจหลักของจีนในทศวรรษหน้า
ปัจจุบัน เซินเจิ้นศูนย์กลางเทคโนโลยีที่ผลิตแบรนด์ระดับโลกอย่าง Huawei, BYD, DJI, และ Transsion เมืองนี้มีจำนวนบริษัทเทคโนโลยีระดับ “ไฮเทค” มากกว่า 25,000 แห่ง มากที่สุดในประเทศ และเป็นผู้นำการยื่นขอสิทธิบัตรระหว่างประเทศ (PCT) ติดต่อกัน 21 ปี ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI), รถยนต์พลังงานใหม่ (NEV), ชิปเซมิคอนดักเตอร์ และเทคโนโลยีชีวภาพ ต่างกลายเป็นจุดเด่นที่จะถูกนำเสนอในเวที APEC ครั้งนี้ นอกจากนี้ เซินเจิ้นยังเป็น “หัวใจของเขตเศรษฐกิจอ่าวกวางตุ้ง–ฮ่องกง–มาเก๊า (Greater Bay Area)” ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนฝั่งใต้ สอดคล้องกับการจัดอันดับของ องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ที่ประกาศให้กลุ่มนวัตกรรม “เซินเจิ้น–ฮ่องกง–กวางโจว” ขึ้นแท่น อันดับ 1 ของโลกในปี 2025 แซงหน้า “โตเกียว–โยโกฮามะ” และ “ซานฟรานซิสโก–ซิลิคอนวัลเลย์”
การที่เซินเจิ้นขึ้นแท่นเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม APEC 2026 ถือเป็น “โอกาสทางเศรษฐกิจเชิงยุทธศาสตร์” ที่ไม่ควรถูกมองข้าม เพราะ APEC คือกลไกเศรษฐกิจที่ครอบคลุม 21 เขตเศรษฐกิจ รวมทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และออสเตรเลีย ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 60% ของเศรษฐกิจโลก และ 50% ของการค้าโลก นอกจากนี้ บทบาทของเซินเจิ้นในฐานะ “ศูนย์กลางการนำเข้า–ส่งออกแห่งเอเชีย” ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs และสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยี เข้าถึงตลาดจีนตอนใต้ที่มีศักยภาพสูง ผ่านเขตเศรษฐกิจอ่าวกวางตุ้งฯ ซึ่งมีประชากรรวมกว่า 86 ล้านคน
ที่ผ่านมา การเป็นเจ้าภาพการประชุมระหว่างประเทศระดับสูง เช่น G20 ที่เมืองหางโจว (2016), BRICS ที่เมืองเซี่ยเหมิน (2017), SCO ที่เมืองชิงต่าว (2018) และการประชุมผู้นำเอเชียกลางที่เมืองซีอาน (2023) ล้วนสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจเชิงบวกอย่างมหาศาล ทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การท่องเที่ยว และการยกระดับภาพลักษณ์ของเมืองในสายตานักลงทุนต่างชาติ เซินเจิ้นเองก็มีแนวโน้มจะได้รับ “ผลคูณทางเศรษฐกิจ” ลักษณะเดียวกัน การเป็นเจ้าภาพ APEC จะช่วยเร่งการพัฒนาเมืองในด้านระบบคมนาคม การบริการระดับพรีเมียม โรงแรม ศูนย์ประชุม และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล พร้อมทั้งกระตุ้นการบริโภคภายในและสร้างแรงดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาตั้งฐานในเขตเศรษฐกิจอ่าวกวางตุ้งฯ มากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน การจัดประชุมในเมืองเศรษฐกิจชั้นนำของจีนเช่นเซินเจิ้น จะเป็นโอกาสให้ไทยจะสามารถขยายความร่วมมือทางการค้ากับบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นนำของจีนได้โดยตรง ทั้งในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลที่ครอบคลุมปัญญาประดิษฐ์ การประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ และระบบอัจฉริยะต่าง ๆ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรมและบริการของไทย อีกทั้งยังเปิดโอกาสในการลงทุนและแลกเปลี่ยนความรู้ด้านพลังงานสะอาดและเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของภูมิภาค การร่วมมือด้านชิปอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์กึ่งตัวนำจะช่วยสร้างโอกาสให้ไทยเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงและเสริมความเข้มแข็งให้ห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ความร่วมมือด้านโลจิสติกส์อัจฉริยะจะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการจัดการขนส่งและคลังสินค้า เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยและสร้างเครือข่ายการค้ากับจีนและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยตรง การประชุมครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นเวทีหารือด้านนโยบายระหว่างประเทศ แต่ยังเป็นช่องทางสำคัญให้ผู้ประกอบการไทยสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ ขยายตลาด และเข้าถึงเทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในระดับภูมิภาคและโลก
ผลกระทบด้านเศรษฐกิจต่อประเทศไทย และแนวทางการปรับตัวของภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการไทย
การจัดประชุมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเชีย–แปซิฟิก (APEC) ณ เมืองเซินเจิ้น ในปี 2026 ถือเป็น “สัญญาณสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงจังหวะทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย” ทั้งยังสะท้อนถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของจีนในฐานะศูนย์กลางเทคโนโลยีและนวัตกรรมของภูมิภาค
ประเทศไทยจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าร่วมในกระแสเศรษฐกิจใหม่นี้อย่างรอบคอบและมีวิสัยทัศน์ โดยเฉพาะในด้านการค้าและการส่งออกของไทย ซึ่งมีโอกาสขยายตัวสู่ตลาดจีนตอนใต้และเขตเศรษฐกิจอ่าวกวางตุ้ง–ฮ่องกง–มาเก๊า ผ่านการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานและการผลิตในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ประเทศไทยควรมุ่งเสริมสร้างความร่วมมือเชิงรุกกับเมืองเซินเจิ้น ทั้งในมิติของการลงทุนร่วมด้านเทคโนโลยีสีเขียว การพัฒนาและส่งเสริมสตาร์ตอัป ตลอดจนการจับคู่ธุรกิจในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ อาทิ รถยนต์ไฟฟ้า ชิปอิเล็กทรอนิกส์ โลจิสติกส์อัจฉริยะ และอีคอมเมิร์ซ ซึ่งล้วนเป็นจุดแข็งของเซินเจิ้นและสอดคล้องกับนโยบาย “Soft Power + Next Generation Industry” ของประเทศไทย ทั้งนี้ ในอีกไม่ถึงสองปีข้างหน้า เมืองแห่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลกแห่งนี้จะกลายเป็นเวทีที่สายตาทั่วโลกจับจ้อง ถือเป็น “โอกาสทอง” ที่ประเทศไทยควรใช้ “ประตูเซินเจิ้น” เป็นช่องทางสำคัญในการขยายการค้า การลงทุน และการส่งออก สู่เศรษฐกิจเอเชียยุคใหม่อย่างมีศักยภาพและยั่งยืน
Cr : ditp.go.th
