สภาพัฒน์ฯ ปรับเป้าจีดีพีปี 64 เหลือ 0.7-1.2% บนสมมติฐานคุมการระบาดได้ในไตรมาส 3-กระจายวัคซีนได้ 85 ล้านโดสในปี 64

16 ส.ค. 2564 • 12:06 การเงินธนาคาร

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2564 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 0.7 – 1.2 โดยมีค่ากลางที่ 1% ฟื้นตัวอย่างช้า ๆ จากการลดลงร้อยละ 6.1 ในปี 2563 แต่เป็นการปรับลดจากร้อยละ 1.5 – 2.5 ในการประมาณการครั้งก่อน

โดยการขยายตัวในช่วงที่เหลือของปียังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงสำคัญๆ ประกอบด้วย การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-19 ที่มีความรุนแรงและยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง ข้อจำกัดด้านฐานะการเงินของภาคครัวเรือนและธุรกิจท่ามกลางการว่างงานที่ยังอยู่ในเกณฑ์สูงและได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากการระบาดระลอกใหม่ ขณะที่ภาคการส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมยังมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากการระบาดในพื้นที่การผลิต รวมทั้งปัญหาข้อจำกัดในห่วงโซ่การผลิตและโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ และ ความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก

ทั้งนี้ในการประมานการเศรษฐกิจครั้งนี้ซึ่งวิกฤตมาจากโรคระบาดซึ่งมีความไม่แน่นอนสูงต่างจากวิกฤตทางการเงินทำให้ต้องนำปัจจัยและสมมติฐานการระบาดในประเทศมาเป็นสมมติฐานในการประมาณการเศรษฐกิจ โดยสมมติฐานการระบาดในกรณีฐานที่สำคัญในการประมาณการคือ

สถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศจะผ่านพ้นจุดสูงสุดและสามารถควบคุมได้ในวงจำกัด โดยในกรณีฐานคาดว่าสถานการณ์การระบาดจะเริ่มทรงตัวในช่วงปลายเดือน ส.ค. 64 ก่อนที่จะเริ่มปรับตัวลดลงอย่างช้า ๆ ในเดือน ก.ย. 64  หรือการแพร่ระบาดภายในประเทศผ่านพ้นจุดสูงสุดในช่วงไตรมาสที่ 3 และสามารถผ่อนคลายมาตรการควบคุมในหลายพื้นที่ได้มากขึ้นในไตรมาสที่ 4 และลดลงอย่างชัดเจนมากขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 จนสามารถเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดได้มากขึ้น

รวมถึงไม่มีการแพร่ระบาดรุนแรงมากขึ้นในพื้นที่ฐานการผลิตและภาคการท่องเที่ยวที่สำคัญ จนส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและภาคการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่การกระจายวัคซีนเป็นไปอย่างต่อเนื่องและตามเป้าหมายที่ตั้งไว้โดยสามารถจัดหาและกระจายวัคซีนได้ประมาณ 85 ล้านโดสในปี 2564

อย่างไรก็ตามหากการแพร่ระบาดภายในประเทศไม่สามารถควบคุมได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 และการแพร่ระบาดในต่างประเทศทวีความรุนแรงมากขึ้นจนส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยเฉพาะประเทศคู่ค้าและต้นทางการท่องเที่ยวที่สำคัญ จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ต่ำกว่ากรณีฐานหรือขยายตัวได้ต่ำกว่าร้อยละ 0.7

ทั้งนี้หากการแพร่ระบาดภายในประเทศควบคุมได้เร็ว จนส่งผลให้สามารถผ่อนคลายมาตรการได้เร็วกว่าที่คาดเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวเร็ว จนส่งผลให้การส่งออกเร่งขึ้นเร็วกว่าที่คาดจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้มากกว่ากรณีฐานหรือมากกว่าร้อยละ 1.2

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยทั้งปี 2564 ยังมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวอย่างช้า ๆ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่าย ลงทุน และมาตรการเศรษฐกิจของภาครัฐ การปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของรายได้ภาคเกษตร และ ฐานการขยายตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 ที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์ สรอ. จะขยายตัวร้อยละ 16.3 การอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 1.1 และร้อยละ 4.7 ตามลำดับ และการลงทุนภาครัฐขยายตัวร้อยละ 8.7 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 1.0 – 1.5 และดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ 2.0 ของ GDP

สำหรับรายละเอียดของการประมาณการเศรษฐกิจในปี 2564 ในด้านต่าง ๆ มีดังนี้

1. การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.1 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 1.0 ในปี 2563 แต่เป็นการปรับลดลงจากการขยายตัวร้อยละ 1.6 ในประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ภายในประเทศที่ยังคงมีความรุนแรงและยืดเยื้อมากกว่าที่คาดไว้ และ การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐบาล คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.3 เทียบกับร้อยละ 0.9 ในปี 2563 และเป็นการปรับลดลงจากร้อยละ 5.1 ในการประมาณการครั้งก่อน สอดคล้องกับปรับโครงสร้างการเบิกจ่ายงบประมาณภายใต้พระราชกำหนดเงินกู้ฯ ซึ่งทำให้สัดส่วนของรายจ่ายค่าซื้อสินค้าและบริการลดลงจากสมมติฐานการประมาณการครั้งที่ผ่านมา

2. การลงทุนรวม คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 เทียบกับการลดลงร้อยละ 4.8 ในปี 2563 และ เป็นการปรับเพิ่มจากการขยายตัวร้อยละ 5.3 ในการประมาณการครั้งก่อน โดยคาดว่าการลงทุนภาคเอกชน จะขยายตัวร้อยละ 4.7 เทียบกับการลดลงร้อยละ 8.4 ในปี 2563 และเป็นการปรับเพิ่มขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 4.3 ในการประมาณการครั้งก่อน สอดคล้องกับเศรษฐกิจโลกและการส่งออกที่ขยายตัวสูงกว่า การประมาณการครั้งที่ผ่านมา และสอดคล้องกับอัตราการใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคมที่เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 63.9 เทียบกับร้อยละ 55.4 ในเดือนเดียวกันของปีก่อน ส่วนการลงทุนภาครัฐ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 8.7 เป็นการปรับลดจากร้อยละ 9.3 ในการประมาณการครั้งก่อน ตามการปรับลดสมมติฐานอัตราเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 เพื่อให้สอดคล้องกับข้อมูลอัตราการเบิกจ่ายจริงในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ 2564 ที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าสมมติฐาน การประมาณการครั้งที่ผ่านมา รวมทั้งการเบิกจ่ายในช่วงที่เหลือของปียังมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่

3. มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 16.3 เทียบกับ การลดลงร้อยละ 6.5 ในปี 2563 และเป็นการปรับเพิ่มจากการขยายตัวร้อยละ 10.3 ในการประมาณการ ครั้งที่ผ่านมา โดยคาดว่าปริมาณการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ 13.3 สูงกว่าการขยายตัวร้อยละ 7.3 ในการประมาณการครั้งก่อน สอดคล้องกับการปรับเพิ่มสมมติฐานการขยายตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก อย่างไรก็ตาม การปรับลดสมมติฐานจำนวนนักท่องเที่ยวส่งผลให้คาดว่าการส่งออกบริการจะอยู่ ในระดับต่ำกว่าประมาณการครั้งที่ผ่านมา เมื่อรวมกับการปรับเพิ่มประมาณการการส่งออกสินค้า ทำให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการรวมขยายตัวร้อยละ 9.6 เทียบกับร้อยละ 1.8 ในการประมาณการครั้งก่อน และการลดลงร้อยละ 19.4 ในปี 2563

นายดนุชายังได้กล่าวถึงประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปี 2564 ว่าการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2564 ควรให้ความสำคัญกับ

(1) การควบคุมสถานการณ์การระบาดให้อยู่ในวงจำกัด โดยการเพิ่มประสิทธิผลในการลดการแพร่เชื้อในครัวเรือน ชุมชน และกลุ่มแรงงาน การจัดลำดับความสำคัญในการดูแลผู้ป่วยตามอาการเพื่อจัดสรรทรัพยากร ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ในพื้นที่ที่มีการระบาดรุนแรงอย่างเข้มข้นมากขึ้น และ การเร่งรัดจัดหาและการกระจายวัคซีนอย่างเพียงพอและทั่วถึง

(2) การช่วยเหลือเยียวยาประชาชน แรงงาน และภาคธุรกิจในช่วงที่การระบาดของโรคมีความรุนแรงและมีการดำเนินมาตรการควบคุมการระบาดอย่างเข้มงวด โดย การเร่งรัดติดตามมาตรการการเงินและการคลังที่ได้ดำเนินการ ไปแล้ว ควบคู่ไปกับการปรับมาตรการและดำเนินมาตรการเพิ่มเติมอย่างเหมาะสม เข้าถึงเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับการระบาดที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น การพิจารณามาตรการช่วยเหลือ ภาคแรงงานผ่านมาตรการรักษาระดับการจ้างงาน ควบคู่ไปกับการพิจารณามาตรการสร้างงานใหม่ และมาตรการพัฒนาทักษะแรงงาน และ มาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมในลักษณะเฉพาะเจาะจงให้กับผู้ประกอบการธุรกิจในสาขาที่ได้รับผลกระทบรุนแรง

(3) การดำเนินมาตรการสนับสนุนการฟื้นตัว ทางเศรษฐกิจเมื่อสถานการณ์การระบาดผ่อนคลายลง โดยให้ความสำคัญกับมาตรการสนับสนุนการฟื้นตัว ของการใช้จ่ายและการท่องเที่ยวภายในประเทศ การจัดพื้นที่สำหรับการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการดำเนินมาตรการป้องกันการกลับมาระบาดของโรค การแก้ปัญหา และช่วยเหลือผู้ประกอบการ ให้สามารถกลับมาประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ตามปกติ

(4) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้า โดย การควบคุมการแพร่ระบาดในฐานการผลิตที่สำคัญ การเร่งรัดแก้ไขปัญหาที่เป็นข้อจำกัดและอุปสรรคในการขนส่งสินค้า การแก้ไขปัญหาการขาดแรงงานต่างชาติในภาคการผลิต การขับเคลื่อนการส่งออกไปยังตลาดหลักที่มีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน และการสร้างตลาดใหม่ให้กับสินค้าที่มีศักยภาพ การใช้ประโยชน์จากกรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า และ การเร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรีที่อยู่ในขั้นตอนของการเจรจาและเตรียมศึกษาเพื่อเจรจากับประเทศคู่ค้าสำคัญใหม่ ๆ

(5) การรักษาแรงขับเคลื่อน การขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ

(6) การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน โดยการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนต่อแนวทางการควบคุมการระบาดภายในประเทศ การเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนให้เกิดการลงทุนจริง การแก้ไขปัญหา ที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและการประกอบธุรกิจการดำเนินมาตรการส่งเสริมการลงทุนเชิงรุก และอำนวยความสะดวกเพื่อดึงดูดนักลงทุน การส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และ การขับเคลื่อนการลงทุนพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งที่สำคัญ ๆ ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้

(7) การรักษาบรรยากาศทางการเมืองและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

Cr.การเงินธนาคาร