ส.อ.ท.เผยดัชนีเชื่อมั่นก.ค.ต่ำสุดรอบ 14 เดือน-กังวลบาทอ่อนกระทบนำเข้า

9 ส.ค. 64 12:54 น. สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

   ส.อ.ท.เผยดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ ก.ค. อยู่ที่ 78.9 ลดลงต่ำสุดในรอบ 14 เดือน เหตุล็อกดาวน์กดดัน ด้านเอกชนจี้รัฐปูพรมตรวจโควิดเชิงรุก-ออกมาตรการเพิ่มเติม รับบาทอ่อนค่าสุดในภูมิภาคหวั่นกระทบนำเข้า แต่เชื่อธปท. ดูแลได้

   นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา อยู่ที่ระดับ 78.9 ปรับตัวลดลงจากระดับ 80.7 ในเดือนก่อนหน้า โดยค่าดัชนีฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และต่ำที่สุดในรอบ 14 เดือน นับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 63

   สำหรับปัจจัยลบที่ส่งผลต่อดัชนีความเชื่อมั่น ประกอบด้วย สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลายและกระจายวงกว้างไปทั่วประเทศ ส่งผลให้ภาครัฐต้องออกมาตรการล็อกดาวน์ในพื้นที่ 13 จังหวัด ออกมาตรการห้ามออกนอกเคหะสถานช่วงเวลา 21.00 – 04.00 น.ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค.- 2 ส.ค. 64 การจำกัดการเดินทางภายในประเทศ

   รวมทั้งขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้พนักงานทำงานที่บ้าน (Work From Home) มากที่สุด แต่อย่างไรก็ตามมาตรการดังกล่าวยังไม่สามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อลงได้ และยังส่งผลให้ภาคธุรกิจโดยเฉพาะSMEs และประชาชนมีรายได้ลดลง ขณะที่การแพร่ระบาดในโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งทำให้กำลังการผลิตลดลง เนื่องจากแรงงานต้องกักตัวทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงาน รวมทั้งโรงงานบางแห่งต้องปิดชั่วคราวเพื่อทำความสะอาด นอกจากนี้ แรงงานในภาคอุตสาหกรรมยังได้รับวัคซีนในสัดส่วนที่น้อย

   อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคการส่งออกที่มีการขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีฯ คำสั่งซื้อและยอดขายต่างประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้ามีทิศทางที่ดีขึ้นจากสัดส่วนประชากรที่ฉีดวัคซีนเพิ่มมากขึ้น ทำให้อุปสงค์ในตลาดต่างประเทศขยายตัว ขณะที่การอ่อนค่าของเงินบาทเป็นปัจจัยสนับสนุนภาคการส่งออกในเดือนนี้

   จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,386 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรมทั่วประเทศในเดือนก.ค. 64 พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ ราคาน้ำมัน 61.3% สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ 50.1% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 39.5% ส่วนปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความกังวลลดลง ได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจโลก 54.5% และอัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์ 40.8%
 
   สำหรับดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 89.3 จากระดับ 90.8 ในเดือนมิ.ย. 64 เนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลต่อสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลายโดยเฉพาะการแพร่ระบาดในโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งหากไม่สามารถควบคุมได้จะกระทบต่อภาคการผลิตและการส่งออก

   นอกจากนี้ ผู้ประกอบการมองว่าหากภาครัฐใช้มาตรการล็อกดาวน์หลายเดือนจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ขณะที่สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกยังไม่แน่นอนเนื่องจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าในหลายประเทศอาจส่งผลต่อกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกรวมถึงการส่งออกของไทยในระยะต่อไป

   นายสุพันธุ์ กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ประกอบด้วย 1.เร่งการตรวจเชิงรุกในกลุ่มพื้นที่สีแดงเข้มเพื่อแยกผู้ติดเชื้อออกจากกลุ่มที่ไม่ติดเชื้อ ควบคู่ไปกับการใช้มาตรการล็อกดาวน์ รวมทั้งเตรียมความพร้อมด้านระบบสาธารณสุขในการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ 2.ขอให้ภาครัฐเร่งฉีดวัคซีนให้แก่แรงงาน ม.33 เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสถานประกอบการ รวมทั้งรักษาศักยภาพในการผลิตและภาคส่งออกของประเทศ  3.สนับสนุนให้มีการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในสถานประกอบการด้วยรูปแบบ Community Isolation ที่รับรองโดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและดูแลโดยโรงพยาบาลในสังกัดประกันสังคม

   4.เสนอให้ภาครัฐนำระบบแจ้งเตือนผู้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ (Exposure Notification Express: ENX) ที่พัฒนาขึ้นโดย Google และ Apple มาใช้เพื่อช่วยป้องกันการแพร่ระบาดลดการติดเชื้อและเสียชีวิต 5.ให้ภาครัฐดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และเร่งรัดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการSMEs ให้เข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้นเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ โควิด-19

   นายสุพันธุ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปัจจุบัน พบว่า มีโรงงานเกือบ 1,000 แห่ง มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ดังนั้นจึงอยากสนับสนับสนุนให้โรงงานต่างๆ ดำเนินการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม เพื่อดูแลผู้ติดเชื้อ และป้องกันการหยุดหรือปิดกิจการชั่วคราวด้วย นอกจากนี้ ส.อ.ท.ยังอยู่ระหว่างเร่งจัดหาชุดตรวจเพื่อส่งให้กับโรงงานต่างๆ ซึ่งปัจจุบันสามารถจัดหาชุดตรวจได้แล้วถึง 100,000 ชุด ในการใช้ตรวจพนักงาน ซึ่งถือเป็นการตรวจเชิงรุกในพื้นที่ได้

   นายสุพันธุ์ กล่าวว่า ส่วนค่าเงินบาทที่ปรับตัวอ่อนค่าลงนั้น ยอมรับว่า เริ่มส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากค่าเงินบาทในปัจจุบันเคลื่อนไหวไม่สอดคล้องกับภูมิภาค ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนวัตถุดิบสูง การแข่งขันลำบาก โดยเฉพาะการลงทุนในเครื่องไม้ เครื่องมือ เครื่องจักร อาจเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันได้

   “หากค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับภูมิภาคหรือกับตลาด เชื่อว่าเราแข่งขันได้ ด้วยค่าเงินที่เหมาะสม แต่หากอ่อนค่ามากไป อาจกระทบกับความสามารถในการแข่งขัน โดยค่าเงินบาทในปัจจุบัน ภาคการส่งออกยังรับได้ แต่เราอ่อนค่ามากที่สุดในภูมิภาค กลุ่มอุตสาหกรรมบางส่วนต้องนำเข้าวัตถุดิบ เครื่องจักรในการลงทุนพัฒนา อาจทำให้ต้นทุนผู้ประกอบการสูงขึ้น และอาจไม่สร้างแรงจูงใจในการขยายอุตสาหกรรมในไทยได้

   ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมน่าจะอยู่ที่ 33 บาทต่อดอลลาร์ หากทะลุเกินกว่านี้อาจส่งผลกระทบมากขึ้น แต่หากอ่อนค่าไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาคก็ไม่เป็นไร โดยเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังดูแลได้ และคงพยายามให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน สำหรับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าตอนนี้ อาจเป็นผลจากทุกสำนักคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัวช้าที่สุด”นายสุพันธุ์ กล่าว

รายงาน    ภัทราภรณ์ เกียรตินันท์ 
เรียบเรียง  สุรเมธี มณีสุโข 
อนุมัติ     อนุรักษ์ ลีประเสริฐสุนทร 

Cr.efinancethai