5 ส.ค. 64 15:24 น. สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

ม.หอการค้า หั่นเป้าจีดีพีไทยปีนี้ เป็นติดลบ 2% – 0% จากเดิมคาดโต 0-1% เหตุโควิดระบาดซ้ำทั่วโลก ชี้หากมีล็อกดาวน์ต่ออีก 1 เดือน จีดีพีอาจทรุดถึงติดลบ 4% ส่วนล็อกดาวน์ ก.ค.-ส.ค.ทำกิจกรรมทางศก.เสียหายแล้ว 5-7 แสนลบ. ฟากดัชนีเชื่อมั่น 3 ตัวหลัก เดือนก.ค.ยังทรุดหนัก
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ม.หอการค้าไทย ได้ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไทยปีนี้ลดลงเป็น 0% ถึง ติดลบ 2% จากเดิมคาดขยายตัว 0-1%
โดยปัจจัยกดดันสำคัญมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ขยายตัวเป็นวงกว้าง รวมถึงรัฐบาลประกาศขยายพื้นล็อกดาวน์เพิ่มเติมเป็น 29 จังหวัด จากเดิม 13 จังหวัด ทำให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจรุนแรง โดยเบื้องต้นจากมาตรการล็อกดาวน์ดังกล่าว จะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. หายไปประมาณ 5-7 แสนล้านบาท จากเดิมคาดกิจกรรมทางเศรษฐกิจหายไป 2-3 แสนล้านบาท
“วันนี้ยังเห็นภาพที่ไม่ชัดเจน แต่โอกาสที่จะติดลบมากขึ้นก็เป็นไปได้ โดยวันนี้มองว่า ความเสียหายที่มีต่อระบบเศรษฐกิจประมาณ 5-7 แสนล้านบาท หรือ ทำให้จีดีพีปีนี้ขยายตัว 0% ถึง ติดลบ 2% ภายใต้สถานการณ์ผ่อนคลายลงในช่วงเดือนก.ย. และหากรัฐบาลสามารถอัดฉีดเงินเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจได้ อาจไม่ติดลบ หรือติดลบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ในกรณีต้องล็อกดาวน์เพิ่ม อาจทำให้จีดีพีติดลบ 2% เป็นอย่างน้อย หรือติดลบ 2-4% ได้ หากสถานการณ์โควิดทุกประเทศมียอดติดเชื้อรายวันที่มากขึ้น และลามไปถึงสหรัฐ ยุโรป ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจโลกซึมตัว กระทบต่อภาคการส่งออก”นายธนวรรธน์ กล่าว
ขณะเดียวกันมองว่า จากผลกระทบที่รุนแรงขึ้น เม็ดเงินจากพ.ร.ก.กู้เงิน 500,000 ล้านบาทอาจไม่เพียงพอ ดังนั้น มองว่ารัฐบาลอาจมีความจำเป็นที่จะต้องกู้เงินเพิ่มเติมอีก 500,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และอาจต้องขยายเพดานหนี้สาธาณะเพิ่มขึ้น อีก 5-10% จากปัจจุบันเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ที่ 60%
ขณะที่สิ่งที่รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการคือ การหยุดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด การเร่งฉีดวัคซีนและเร่งจัดหาวัคซีนทางเลือกให้เร็วที่สุด และกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไป เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจไทยซึมตัวลงไปมากกว่าปัจจุบัน ด้านมาตรการเยียวยานั้น มองว่าสามารถดำเนินการได้เพิ่มเติม ทั้งการจ่ายเงินเยียวยา 4,500 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน หรือการอัดฉีดเงินเพิ่มเติมในโครงการคนละครึ่ง เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย และจะทำให้ระบบเศรษฐกิจมีเม็ดเงินหมุนเวียนด้วย ขณะที่ภาคเอกชนจะต้องสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้าถึงแหล่งเงิน หรือซอฟต์โลนมากขึ้นด้วย
ด้านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนก.ค.อยู่ที่ 40.9 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ 43.1 ปรับดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 274 เดือน หรือ 22 ปี 10 เดือน นับตั้งแต่ทำการสำรวจในเดือนต.ค. 41 เนื่องจากมีความกังวลกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศในรอบที่ 4 และการที่รัฐบาลกำหนดพื้นที่ควบคุมสูงสุด 13 จังหวัด โดยออกมาตรการล็อกดาวน์ และเคอร์ฟิว 21.00-04.00 น. เพื่อควบคุมการระบาด
มาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชน การทำธุรกิจ และภาวะเศรษฐกิจของไทย ประกอบกับความกังวลในสถานการณ์ทางการเมืองที่มีเสถียรภาพน้อยลง และการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนที่ล่าช้า ส่งผลให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงและขาดแรงกระตุ้นในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในอนาคต
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนก.ค. อยู่ที่ 35.3 ลดลงจากเดือนก่อนที่อยู่ที่ 37.3 ซึ่งอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 274 เดือน หรือ 22 ปี 10 เดือน โดยผู้บริโภคยังขาดความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย จากสถานการณ์โควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าที่ยังคงแพร่ระบาดรอบใหม่ในไทยและทั่วโลก
“มองว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนส.ค. คงจะปรับลดลงมากกว่านี้ จากการประกาศขยายพื้นที่ล็อกดาวน์เป็น 29 จังหวัด รวมถึงมุมมองต่อเศรษฐกิจที่เชื่อว่ายังแผ่วบางและไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวได้”นายธนวรรธน์ กล่าว
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยประจำเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา อยู่ที่ 20.7 ปรับลดลงจากเดือนก่อนที่อยู่ที่ 22.5 และเป็นการปรับลดลงต่ำสุดในรอบ 31 เดือน โดยมีปัจจัยลบจากความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน การทำธุรกิจ และภาวะเศรษฐกิจของประเทศทั้งปัจจุบันและในอนาคต หากสถานการณ์โควิด-19 ยังไม่สามารถควบคุมได้ นอกจากนี้ ยังเป็นผลจากการออกมาตรการเร่งด่วนขยายพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดจากเดิม 10 จังหวัด เป็น 13 จังหวัด เพื่อควบคุมการระบาด
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยลบจาก สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลดคาดการณ์จีดีพีของไทยปีนี้เหลือ 1.3% ซึ่งลดลงจากครั้งที่ผ่านมาที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.3% การสั่งปิดกิจการทางธุรกิจในหลายประเภท ทำให้ไม่สามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ ธุรกิจเริ่มขาดสภาพคล่องและทยอยปิดกิจการ ส่งผลให้มีการปลดคนงานเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันยังกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพการเมืองและสถานการณ์การเมือง รวมถึงการชุมนุมทางการเมืองด้วย
สำหรับปัจจัยบวก ประกอบด้วย ภาครัฐดำเนินมาตรการเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในโครงการต่างๆ จะช่วยสนับสนุนกำลังซื้อของผู้บริโภคได้ในระดับหนึ่ง รวมถึงการออกมาตรการเยียวยาแรงงานและผู้ประกอบการเพิ่มเติมในพื้นที่ 13 จังหวัดในพื้นที่สีแดงเข้ม และการเปิดรับนักท่องเที่ยวในโครงการนำร่องอย่างภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ และสมัย พลัส รวมถึงการเร่งฉีดวัคซีนของทั้งโลกทำให้สถานการณ์โควิด-19 ในระดับโลกปรับตัวดีขึ้นและการฉีดวัคซีนโควิด-19 เริ่มเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมมากขึ้น นอกจากนี้ การส่งออกของไทยในเดือนมิ.ย. ที่ขยายตัวได้ 43.82% ยังเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจที่สำคัญด้วย
รายงาน ภัทราภรณ์ เกียรตินันท์
เรียบเรียง สุรเมธี มณีสุโข
อนุมัติ พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
Cr. efinancethai
