“ซิตี้แบงก์”คาดศก.โลก ติดลบ3.5% สหรัฐฯและอียูยังซบเซา-เอเชียฟื้นตามจีน

21 ก.ค. 63 11:32 น. สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

    ซิตี้แบงก์ ประเมินศก.โลกปีนี้จะติดลบ 3.5% ก่อนฟื้นเป็นบวก 5.5% ในปี 64 ชี้สหรัฐฯ – ยุโรป ยังทรุดเพราะโควิด-19 แต่ฝั่งเอเชียจะฟื้นก่อนตามศก.จีน พร้อมชวนลงทุน หุ้นวัฏจักรกลุ่มสุขภาพ–เทคโนโลยี และทองคำ    

   นายบุญนิเศรษฐ์ ธัญวรอนันต์ ที่ปรึกษาทางการลงทุน ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย เปิดเผยผ่านเอกสารเผยแพร่ว่า  คาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ(จีดีพี) ทั่วโลกในช่วงครึ่งหลังของปี 63 ติดลบ 3.5% ก่อนที่ตลาดโลกจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เป็นโต 5.5% ในปี 64

         ในขณะที่ระดับอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.8% และเพิ่มขึ้นเป็น 2.4% ในปี 64 จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์โลก ทั้งการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีน รวมถึงเศรษฐกิจที่ผันผวนตลอดปีที่ผ่านมา

   ในขณะที่เศรษฐกิจระดับภูมิภาคคาดว่ากลุ่มตลาดเกิดใหม่ชะลอตัวลงเล็กน้อย -1.5% และคาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวขึ้น 6.4% ในปี 64 ในทางกลับกันด้านตลาดพัฒนาแล้วมีแนวโน้มการเติบโตชะลอตัว -5% ในปีนี้ จากผลกระทบของโควิด-19 ตลอดจนความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ ส่งผลให้การลงทุนมีความความท้าทายสูง ถึงแม้ว่าตลาดทุนทั่วโลกกลับตัวบวก 40.6% จากจุดต่ำสุดในเดือนมีนาคม แต่ก็ยังติดลบ 4% เมื่อเทียบกับต้นปี (ข้อมูลเมื่อวันที่ 1 ม.ค.-23 มิ.ย.63)

   ทั้งนี้ คาดว่าจีดีพีของสหรัฐฯในปีนี้จะหดตัว 3.3% แต่เริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวก จากอัตราการว่างงานที่ลดลง  ยอดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นในช่วงเดือนพ.ค. และธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ออกมาตรการผ่อนคลายทางการเงินและคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายระดับ 0-0.25% รวมทั้งรัฐบาลสหรัฐฯมีแผนอัดฉีดเงินมูลค่ามากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อกระตุ้นระบบเศรษฐกิจของประเทศ

   ส่วนยุโรป(อียู)คาดว่าจีดีพีจะลดลง 6.7%  มองแนวโน้มการฟื้นตัวอาจจะต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ปี กว่าจีดีพีจะกลับไปสู่ระดับเดิมเทียบเท่าช่วงไตรมาส 4/62 ทำให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB)  มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับต่ำกว่า 0% ต่อเนื่อง และเปิดโครงการซื้อพันธบัตรฉุกเฉินเป็นวงเงินสูงถึง 7.5 แสนล้านยูโร ตลอดจนคณะกรรมาธิการยุโรปเตรียมเสนองบประมาณการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งมีวงเงินสูงถึง 1.1 ล้านล้านยูโร สำหรับช่วง 7 ปีข้างหน้า 
 
   ในขณะที่คาดการณ์เศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียในปีนี้จะโต 0.5% โดยเฉพาะประเทศจีนที่อาจโตแตะ 2.4% เนื่องจากความต้องการภายในประเทศที่มีขนาดใหญ่  หลังกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศที่เพิ่มขึ้นตามลำดับ

   ด้านน้ำมันดิบเบรนท์และน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 42 และ 38 ดอลลาร์สหรัฐ/บารร์เรลตามลำดับ ส่วนทองคำยังเป็นที่ต้องการของตลาด คาดเฉลี่ยอยู่ที่ 1,600 -1,800 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ และมีแนวโน้มว่ามูลค่าเฉลี่ยจะขยับขึ้นในระดับประมาณ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ในปี 64

   ส่วนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ  มีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากปัจจัยการขยายงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)   ส่วนกรอบความเคลื่อนไหวเงินบาทไทยคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 31.0 – 31.3 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

   ทั้งนี้ ยังคงมีมุมมองบวกต่อหุ้นวัฎจักรที่คาดว่าจะมีการเติบโตต่อเนื่อง พร้อมแนะนักลงทุนให้น้ำหนักในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ภูมิภาคเอเชียและกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี สุขภาพ กลุ่มโทรคมนาคมและเทคโนโลยีดิจิทัลไลเซชั่น (Digitalization) รวมถึงพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา สกุลเงินเยน ตลอดจนการลงทุนในทองคำ

เรียบเรียง  สุรเมธี มณีสุโข 
อนุมัติ     อนุรักษ์ ลีประเสริฐสุนทร 

CR:Efinancethai