Jul 21, 2020( Last update Jul 21, 2020 11:07 )VoiceTV

วัคซีนต้านโควิด-19ที่ได้รับการพัฒนาโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดของอังกฤษ ประสบความสำเร็จในการทดลองขั้นคลินิก โดยร่างกายของผู้รับการทดสอบสามารถสร้างภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัสได้
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ The Lancet เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (20 ก.ค.) ระบุว่า ผลการทดลองวัคซีนโควิด-19 ชั้นคลิกนิกในระยะที่ 1 ที่ได้รับการพัฒนาโดยทีมนักวิจัยจากสถาบันออกซ์ฟอร์ดเจนเนอร์นั้น ตอบสนองต่อการสร้างระบบภูมิคุ้มกันร่างกายของมนุษย์และมีความปลอดภัยกับร่างกายของผู้เข้าร่วมทดสอบ
งานวิจัยระบุว่า วัคซีนต้านโควิด-19 ที่กำลังพัฒนานั้นเมื่อฉีดเข้าไปในร่างกายของมนุษย์ ขั้นแรกภายใน 14 วัน วัคซีนจะไปกระตุ้น ทีเซลล์ (T Cell) ให้เกิดการสร้างเม็ดเลือดขาวที่สามารถทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อได้ ขณะที่ขั้นที่ 2 ภายใน 28 วันระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์สามารถป้องกันไวรัสให้กับร่างกายมนุษย์ได้
ศาสตราจารย์ แอนดรูว โพลแลรด์ หัวหน้าทีมวิจัยทดสอบวัคซีนจากมาหวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล่าวว่า “ทางทีมวิจัยเห็นถึงการตอบสนองทางภูมิกันของร่างกายในกลุ่มอาสามัครจำนวน 10 รายที่ได้รับวัคซีนทั้งหมด 2 โดส ซึ่งชี้ให้เห็นว่าวิธีการดังกล่าวอาจจะเป็นวิธีการฉีดวัคซีนสำหรับต้านโควิด-19
การทดลองวัคซันในชั้นคลินิกของอังกฤษนี้ได้ทดสอบกับกลุ่มอาสาสมัครจำนวนกว่า 1,000 ราย ซึ่งมีอายุระหว่าง 18 และ 55 ปี
ปัจจุบันทางออกซ์ฟอร์ดทำงานร่วมกับบริษัทวิจัยยาแอสตราเซนเนกา (AstraZeneca) ในการพัฒนาและผลิตวัคซีนโคโรนาไวรัส ซึ่งตั้งเป้าในการผลิตวัคซีน 2,000 ล้านโดสให้กับทั่วโลกในช่วงต้นปีหน้า
อย่างไรก็ตามก็มีงานวิจัยวัคซีนอีกชิ้นจากจีนตีพิมพ์ใน The Lancet เช่นกัน โดยระบุว่าวัคซีนที่ผลิตโดยจีนนั้นสามารถสร้างระบบแอนติบอดี้หรือระบบภูมิคุ้มกันได้เช่นกัน รวมถึงทีเซลล์ก็ตอบสนองต่อร่างกายมนุษย์มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ หลังจากได้รับวัคซีนภายใน 28 วัน
CR:VoiceTV
