วันที่ 13 มิถุนายน 2563 – 16:22 น. มติชน

เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน สำนักข่าวรอยเตอร์อ้างรายงานการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร พีเอ็นเอเอส หรือ The Proceedings of the National Academy of Sciences ของสหรัฐอเมริกา ชี้ว่า การสวมหน้ากากป้องกันใบหน้า ช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อได้อย่างสำคัญและอาจช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของผู้คนจำนวนมากได้
นักวิจัยที่ทำการศึกษาในเรื่องนี้กล่าวว่า การสวมหน้ากากมีความสำคัญมากในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส และบางทีอาจสำคัญกว่าการเว้นระยะห่างทางสังคมและคำสั่งกักตัวอยู่บ้าน โดยจากการศึกษาพบว่า แนวโน้มการติดเชื้อมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในประเทศอิตาลีเมื่อมีการออกกฎบังคับให้สวมหน้ากากเมื่อวันที่ 6 เมษายน และเมื่อวันที่ 7 เมษายน เริ่มมีการบังคับใช้ในนครนิวยอร์ก ซึ่งทั้งสองแห่งนี้ เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีสถานการณ์ระบาดหนักสุดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงเวลานั้น
นักวิจัยประเมินว่า เฉพาะมาตการสวมหน้ากากป้องกัน ได้ช่วยลดจำนวนผู้ติดเชื้อในอิตาลีระหว่างวันที่ 6 เมษายน-9 พฤษภาคมลงได้มากกว่า 78,000 ราย และในนครนิวยอร์กลดลงได้มากกว่า 66,000 รายระหว่างวันที่ 7 เมษายน-9 พฤษภาคม โดยการสวมหน้ากากป้องกันที่นับจากมีผลบังคับใช้ในนครนิวยอร์กสามารถช่วยลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลงได้ถึงวันละประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์
โดยนักวิจัยชี้อีกว่า การป้องกันการติดต่อสัมผัสโดยตรง โดยมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม การแยกตัวกักโรค และการล้างมือ ที่มีการแนะนำบังคับใช้ก่อนหน้าที่อิตาลีและนิวยอร์กจะมีการออกกฎให้สวมหน้ากากป้องกันนั้น เป็นเพียงแค่ช่วยลดการแพร่เชื้อจาการสัมผัสโดยตรงเท่านั้น ขณะที่การสวมหน้าจะเป็นการช่วยป้องกันการแพร่เชื้อทางอากาศ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อลงได้อย่างสำคัญ
CR: มติชน
