จันทร์ที่ 8 มิถุนายน 2563 เวลา 09.32 น. เดลินิวส์

สภาแห่งชาติของเวียดนามให้สัตยาบันต่อข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป เป็นประเทศที่ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีความร่วมมือการค้าระดับทวิภาคีกับอียู
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ว่าสภาแห่งชาติของเวียดนามมีมติเมื่อวันจันทร์ ด้วยเสียงข้างมากท่วมท้นคิดเป็นสัดส่วน 94.6% ให้สัตยาบันต่อข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป ( อียู ) ที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “ข้อตกลงการค้าเสรีสหภาพยุโรปเวียดนาม” ( อีวีเอฟทีเอ ) คาดว่าจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. นี้เป็นต้นไป หลังมีการลงนามเมื่อเดือนมิ.ย. 2562
ทั้งนี้ สภายุโรปให้สัตยาบันต่ออีวีเอฟทีเอ เมื่อเดือนก.พ. ที่ผ่านมา ถือเป็นประเทศที่ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งอียูมีความร่วมมือทางการค้าในระดับทวิภาคี ต่อจากสิงคโปร์ ขณะที่ธนาคารโลก ( เวิลด์แบงก์ ) คาดการณ์ว่าอีวีเอฟทีเอจะกระตุ้นผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ( จีดีพี ) และการส่งออกของเวียดนามขยายตัวอีก 2.4% และ 12% ตามลำดับ ภายในปี 2573 ช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หลายแสนคนได้มีโอกาสพ้นจากเส้นแบ่งความยากจน
ขณะเดียวกัน ข้อตกลงการค้าดังกล่าวยังจะเอื้อประโยชน์ให้กับเวียดนาม ในการขยายตลาดที่เกี่ยวกับการไปรษณีย์ การชิปปิ้ง การธนาคาร และตลาดจัดซื้อสาธารณะให้สอดคล้องกับมาตรฐานของอียู โดยกำแพงภาษีของทั้งสองฝ่ายจะหายไปมากถึง 99% ตลอดระยะเวลา 10 ปีนับจากนี้
ปัจจุบันเวียดนามเป็นประเทศคู่ค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รายใหญ่อันดับ 2 ของอียู ด้วยมูลค่าการค้า 56,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปีที่แล้ว ( ราว 1.76 ล้านล้านบาท ) ส่วนมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติในเวียดนามเมื่อปีที่แล้ว มีมูลค่า 38,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นสถิติสูงที่สุดในรอบ 10 ปี ( ราว 1.19 ล้านล้านบาท )
แม้การเจรจาเอฟทีเอระหว่างอียูกับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ( อาเซียน ) ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2550 “ยังไม่มีความคืบหน้าอย่างสร้างสรรค์” แต่หากสหภาพสามารถจัดทำเอฟทีเอร่วมกับสมาชิกอาเซียนได้อย่างน้อย 6 ประเทศ ข้อตกลงการค้ากับอียูในนามอาเซียน “อาจไม่จำเป็น” อีกต่อไปสำหรับอียู โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกฎหมายการค้ากับต่างประเทศของเมียนมาและกัมพูชายังคงมีข้อจำกัดอยู่มาก อีกทั้งรัฐบาลพนมเปญกำลังมีปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนและการค้ากับอียูด้วย.
เครดิตภาพ : AP
CR:เดลินิวส์
