สหราชอาณาจักรสมัครเป็นคู่เจรจากับ อาเซียน

อาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2563 เวลา 14.26 น. เดลินิวส์

รัฐบาลสหราชอาณาจักรยื่นใบสมัครต่ออาเซียน เพื่อขอรับการพิจารณาเป็นประเทศคู่เจรจาแห่งใหม่ หลังการเบร็กซิตเมื่อต้นปีนี้

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ว่ารัฐบาลสหราชอาณาจักรเผยแพร่แถลงการณ์ของนายโดมินิก ร้าบ รมว.กระทรวงการต่างประเทศ ว่าได้ยื่นเอกสารต่อสำนักงานเลขาธิการสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ( อาเซียน ) ซึ่งอยู่ที่กรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย เพื่อสมัครเข้ารับการพิจารณาเป็นประเทศคู่เจรจารายใหม่ของอาเซียน

ทั้งนี้ สหราชอาณาจักรมองการขยายตัวของทุกภูมิภาคในทวีปเอเชียมีความสำคัญอย่างยิ่ง และมุ่งหวังได้รับโอกาสให้ร่วมงานกับนานาประเทศแถบนี้อย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม หากได้รับการอนุมัติให้ร่วมเป็นหนึ่งในคู่เจรจากับอาเซียนแล้ว ความร่วมมือระหว่างสหราชอาณาจักรกับอาเซียนจะไม่ได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะภายในกลุ่มเท่านั้น แต่การเป็นพันธมิตรครั้งนี้ยังจะเป็นโอกาสขยายความร่วมมือครอบคลุมไปถึงภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ตั้งแต่เรื่องความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลกไปจนถึงเสถียรภาพด้านความมั่นคงในภูมิภาค

นายโดมินิก ร้าบ รมว.กระทรวงการต่างประเทศของสหราชอาณาจักร

ปัจจุบันสหราชอาณาจักรมีสถานเอกอัครราชทูตในทุกประเทศที่เป็นสมาชิกอาเซียน และยังมีเอกอัครราชทูตประจำอาเซียน ปฏิบัติงานอยู่ที่กรุงจาการ์ตาด้วย ซึ่งการเข้าร่วมเป็นหนึ่งในคู่เจรจาของอาเซียนจะช่วยให้สหราขอาณาจักรได้เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีกับอาเซียนในอนาคต

  สำหรับการสร้างเสริมความสัมพันธ์กับภาคีภายนอกเป็นหนึ่งในนโยบายด้านต่างประเทศที่อาเซียนให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น แต่ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นกลาง ตอนนี้อาเซียนมีคู่เจรจาอย่างน้อย 9 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย รัสเซีย สหรัฐ และแคนาดา และกับหน่วยงานระดับภูมิภาคอีกอย่างน้อย 1 แห่งคือสหภาพยุโรป ( อียู ) ซึ่งสหราชอาณาจักรลาออกจากการเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 31 ม.ค.ปีนี้

นอกจากนี้ อาเซียนยังมีความสัมพันธ์กับเยอรมนีในฐานะหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ตุรกี และปากีสถาน ในฐานะคู่เจรจาเฉพาะสาขา และยังมีปาปัวนิวกินีเป็นประเทศผู้สังเกตการณ์พิเศษ อีกทั้งอาเซียนยังอยู่ในฐานะองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นผู้สังเกตการณ์ของสมัชชาสหประชาชาติด้วย.

เครดิตภาพ : AP

CR: เดลินิวส์