พฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม 2563 เวลา 10.29 น. เดลินิวส์

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่าวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 คือ “การสังหารหมู่ระดับโลก” โดยจีน ด้านนายไมค์ ปอมเปโอ รมว.กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่าเงิน 60,000 ล้านบาทที่รัฐบาลปักกิ่งมอบให้องค์การอนามัยโลก “เทียบไม่ได้” กับความเสียหายที่อีกฝ่ายก่อขึ้น
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 20 พ.ค. ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ กล่าวเมื่อวันพุธ ว่าวิกฤติโรคโควิด-19 จากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ คือ “การสังหารหมู่ระดับโลก” ที่เป็นผลจาก “ความไม่เอาไหนของจีน” ซึ่งสามารถยับยั้งการระบาดของโรคได้ตั้งแต่ต้น “แต่ไม่ทำ”
ขณะที่นายไมค์ ปอมเปโอ รมว.กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่าการที่สื่อมวลชนทั่วโลกกำลังให้ความสนใจอย่างมากกับการรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเสียหายมหาศาลมากกว่าเงิน 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 63,649 ล้านบาท ) ที่รัฐบาลปักกิ่งบริจาคให้กับองค์การอนามัยโลก ( ดับเบิลยูเอชโอ ) แน่นอน แต่ส่งผลให้เกิดความหลงลืมและมองข้าม “ความท้าทายใหญ่กว่า” จากพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งปกครองประเทศด้วยความโหดร้ายและเป็นเผด็จการยาวนานตั้งแต่ปี 2492
แม้รัฐบาลวอชิงตันทุกยุคทุกสมัยคาดหวังมาตลอด ว่ารัฐบาลปักกิ่ง “จะเป็นส่วนหนึ่งกับโลกได้” ผ่านการแลกเปลี่ยนทางการค้า พัฒนาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งรวมถึงความร่วมมือระหว่างประเทศ อาทิ การที่จีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก ( ดับเบิลยูทีโอ ) แต่ท้ายที่สุดแล้ว “สิ่งนั้นก็ยังไม่เกิดขึ้น” สหรัฐประเมินจีน “ต่ำเกินไป” เมื่อเทียบกับการที่รัฐบาลปักกิ่งเดินหน้าสร้างความเป็นศัตรูด้านอุดมการณ์และการเมืองกับ “กลุ่มประเทศโลกเสรี”
ท่าทีดังกล่าวของทรัมป์และปอมเปโอเกิดขึ้นพร้อมกับที่ทำเนียบขาวเผยแพร่รายงาน “ฉบับพิเศษ” ความยาว 20 หน้า มีเนื้อหา “ต่อว่าและประณามอย่างจำเพาะเจาะจง” ต่อจีน ว่า “ร้ายกาจ” ทั้งในประเด็นสิทธิมนุษยชน ความขัดแย้งทางการค้า และการขยายอิทธิพลทางทหารไปทั่วโลกโดยเฉพาะในทะเลจีนใต้ นอกเหนือจากการย้ำถึงความไม่พอใจของรัฐบาลวอชิงตัน ว่าจีน “เป็นต้นเหตุ” ของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
นอกจากนี้ การออกรายงานของทำเนียบขาวยังเกิดขึ้น “อย่างประจวบเหมาะ” กับการที่ประธานาธิบดีไช่ อิง-เหวิน รับตำแหน่งผู้นำไต้หวันสมัยที่ 2 อย่างเป็นทางการ เมื่อวันพุธ โดยหรัฐกับไต้หวันไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นผลจากการ “ให้ความสำคัญ” ของหลักการจีนเดียว ที่หมายถึงการยอมรับว่ารัฐบาลกลางในกรุงปักกิ่งเป็น “รัฐบาลเดียวของจีน” นับตั้งแต่ปี 2515 ที่ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ผู้นำสหรัฐในตอนนั้น เยือนกรุงปักกิ่งเพื่อพบหารือกับประธานเหมา เจ๋อตง และนายกรัฐมนตรี โจว เอินไหล.
เครดิตภาพ : AP
CR: เดลินิวส์
