เสาร์ที่ 16 พฤษภาคม 2563 เวลา 18.09 น. เดลินิวส์

บริษัทเทคโนโลยีข้ามชาติที่เข้ามาประกอบการในอินโดนีเซีย ต้องชำระ “ภาษีดิจิทัล” ในอัตรา 10% ตั้งแต่ 1 ก.ค.นี้เป็นต้นไป
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 16 พ.ค.ว่ากระทรวงการคลังของอินโดนีเซียออกแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ ว่านับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.นี้เป็นต้นไป รัฐบาลจาการ์ตาจะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 10% กับผลิตภัณฑ์ดิจิทัลทุกประเภทของบริษัทด้านเทคโนโลยีที่ไม่ได้จดทะเบียนในอินโดนีเซีย แต่มีส่วนแบ่งด้านการตลาดมูลค่ามหาศาลในประเทศ
ทั้งนี้ บริการที่ต้องเสียภาษีรวมถึง สตรีมมิง แอปพลิเคชั่น และเกมออนไลน์ สอดคล้องกับรายงานที่ออกมาก่อนหน้านี้ว่า เน็ตฟลิกซ์และสปอทิฟายเป็นบริษัท 2 แห่งแรกที่อินโดนีเซียเตรียมเก็บภาษีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีฝ่ายใดออกมาให้ความเห็นอย่างเป็นทางการ
ด้านผู้สันทัดกรณีมองว่า ท่ามกลางวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 ที่ผู้คนอยู่บ้านมากขึ้น และใช้บริการบนโลกออนไลน์มากขึ้น แต่ในขณะที่ยังไมีข้อตกลงที่เป็นเกณฑ์ของการจัดเก็บภาษีดิจิทัล การที่รัฐบาลของแต่ละประเทศจะดำเนินมาตรการเก็บภาษีตามแนวทางของตัวเองย่อมเป็นไปได้มากขึ้นเช่นกัน
ปัจจุบันองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ( โออีซีดี ) ซึ่งอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในสมาชิก กำลังหารือร่วมกันเพื่อจัดทำมาตรการเก็บภาษีดิจิทัลที่เป็นมาตรฐาน ปิดรูรั่วที่เป็นความได้เปรียบของบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก กูเกิ้ล แอปเปิ้ล ไมโครซอฟต์ และทวิตเตอร์ ซึ่งอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมายดังกล่าว เข้าไปตั้งสำนักงานในประเทศเหล่านั้น เพื่อการเสียภาษีในอัตราต่ำ
ขณะที่รายงานวิเคราะห์โดยกลุ่มบริษัทเทมาเส็กของสิงคโปร์ระบุว่า อินโดนีเซียซึ่งมีประชากรมากถึง 270 ล้านคน และเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ยังเป็นประเทศที่เศรษฐกิจดิจิทัลเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 130,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 4.16 ล้านล้านบาท ) ภายในปี 2568
ส่วนนางศรี มุลยานี อินทราวตี รมว.กระทรวงการคลังของอินโดนีเซีย กล่าวถึงการจัดเก็บภาษีดิจิทัลหรือภาษีอินเทอร์เน็ตเป็นการปรับเปลี่ยนแนวทางด้านการคลังของรัฐบาล เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของประชาชนที่เปลี่ยนไปท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งจะส่งผลให้รายได้ของภาครัฐลดลง 10% ในปีนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจอาจลดลงเกือบครึ่ง จาก 5% เมื่อปีที่แล้ว ลงมาอยู่ที่ 2.3% และการขาดดุลงบประมาณเพิ่มเป็น 5.07% ต่อผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ ( จีดีพี ) สูงที่สุดในรอบกว่า 1 ทศวรรษ.
เครดิตภาพ : REUTERS
CR: เดลินิวส์
