เสาร์ที่ 16 พฤษภาคม 2563 เวลา 12.18 น. เดลินิวส์

นพ.เนลสัน ไทค ลาออกจากตำแหน่งรมว.กระทรวงสาธารณสุขของบราซิล หลังรับตำแหน่งได้เพียงเดือนเดียว จากความขัดแย้งกับประธานาธิบดีในเรื่องมาตรการบริหารจัดการโรคโควิด-19
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงบราซิเลีย ประเทศบราซิล เมื่อวันที่ 16 พ.ค. ว่านพ.เนลสัน ไทค ยื่นหนังสือต่อประธานาธิบดีชาอีร์ โบลโซนาโร เมื่อวันศุกร์ เพื่อลาออกจากการเป็นรมว.กระทรวงสาธารณสุข ทั้งที่เพิ่งรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 17 เม.ย. ที่ผ่านมา ทั้งนี้ นพ.ไทคปฏิเสธให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวเมื่อเดินทางออกจากกระทรวงสาธารณสุข ขณะที่นายวอลเตอร์ บรากา เนตโต หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบรัฐบาล กล่าวถึงการลงจากตำแหน่งของนพ.ไทค “เป็นเหตุผลส่วนตัว”
อย่างไรก็ตาม โบลโซนาโรกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เตรียมผ่อนคลายเงื่อนไขการใช้ยาไฮดรอกซีคลอโรควิน ซึ่งเป็นยาต้านโรคมาลาเรีย เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในบราซิล และต้องการให้กระทรวงสาธารณสุขประกาศอย่างเป็นทางการให้เร็วที่สุดอย่างไรก็ตาม นพ.ไทคกล่าวตั้งแต่รับตำแหน่งเมื่อเดือนที่แล้วว่า “ยังไม่มีความชัดเจน” เกี่ยวกับประสิทธิภาพของยาไฮดรอกซีคลอโควิน และเตือนว่าการใช้ยาโดยยังไม่ผ่านการวิจัย อาจทำให้ผู้ป่วยบางรายมีอาการแย่ลง
คำกล่าวของนพ.ไทคสอดคล้องกับทรรศนะของนพ.แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดต่อและโรคภูมิแพ้แห่งชาติของสหรัฐ ( เอ็นไอเอช ) ซึ่งกล่าวว่ายังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน ว่าการใช้ยาไฮดรอกซีคลอโรควินรักษาโรคโควิด-19 จะไม่เกิดผลข้างเคียงในทางใด โดยเป็นจุดยืนคนละฝั่งกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ยังคงต้องการให้ใช้ยาตัวนี้ แม้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอนุมัติการใช้ยาเรมเดซิเวียร์แล้ว
นอกจากนี้ นพ.ลูอิซ เอ็นริเก แมนเดตตา ซึ่งลาออกจากตำแหน่งรมว.กระทรวงสาธารณสุขเมื่อวันที่ 16 เม.ย. ที่ผ่านมา คัดค้านการใช้ยาไฮดรอกซีคลอโรควินเช่นกัน และการที่นพ.แมนเดตตามีแนวคิดให้ล็อกดาวน์และผ่อนคลายเป้นลำดับขั้น กลายเป็นการพิพาทอย่างหนักกับผู้นำบราซิล
อนึ่ง กระทรวงสาธารณสุขของบราซิลออกรายงานเมื่อวันศุกร์ รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สะสมอย่างน้อย 220,291 คน เพิ่มขึ้น 2,068 คน รักษาหายแล้ว 84,970 คน และเสียชีวิตอย่างน้อย 14,962 คน เพิ่มขึ้น 145 คน โดยสถิติผู้ติดเชื้อสะสมเป็นอันดับ 1 ในอเมริกาใต้ และอันดับ 6 ของโลก รองจากสหรัฐ สเปน รัสเซีย สหราชอาณาจักร และอิตาลี.
เครดิตภาพ : AP
