หมอสหรัฐเตือนคลายล็อกเร็ว ระวัง’หายนะที่ไม่จำเป็น’

พุธที่ 13 พฤษภาคม 2563 เวลา 09.17 น. เดลินิวส์

นพ.แอนโธนี เฟาซี กล่าวว่าการผ่อนคลายหรือถึงขั้นยุติมาตรการล็อกดาวน์ “เร็วเกินไป” ในขณะที่เชื้อโรคยังคงระบาด คือความเสี่ยงสูงที่จะก่อให้เกิด “ผลกระทบร้ายแรงจนเอาไม่อยู่”

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 12 พ.ค. ว่านพ.แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดต่อและภูมิแพ้แห่งชาติของสหรัฐ ( เอ็นไอเอช ) ประชุมผ่านระบบวีดีโอคอลร่วมกับคณะกรรมาธิการด้านสาธารณสุขของวุฒิสภา เมื่อวันอังคาร เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศ ซึ่งมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 80,000 คน จากจำนวนผู้ป่วยสะสมประมาณ 1.4 ล้านคน

นพ.เฟาซี กล่าวว่า “มีความเป็นไปได้” ที่จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในสหรัฐ จะมากกว่าสถิติของทางการ เนื่องจากสถิติทั้งในส่วนของผู้เสียชีวิตและผู้ป่วยยังไม่นับรวมผู้ที่รักษาตัวเองอยู่ที่บ้าน โดยเฉพาะที่รัฐนิวยอร์กซึ่งเป็นพื้นที่วิกฤติที่สุดของวิกฤติด้านสาธารณสุขครั้งนี้ ซึ่งมีผู้ป่วยจำนวนมากเสียชีวิตก่อนเข้าสู่ระบบของโรงพยาบาล

ขณะเดียวกัน นายแพทย์อาวุโสซึ่งมีแนวคิดเรื่องการบริหารจัดการวิกฤติโรคระบาดครั้งนี้ ที่แตกต่างกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างชัดเจน กล่าวด้วยว่า หน่วยงานด้านสาธารณสุขทุกแห่งในสังกัดรัฐบาลกลางร่วมกันจัดทำแนวทางปฏิบัติว่าด้วยการกลับมาเปิดเศรษฐกิจ และดำเนินกิจกรรมทางสังคมอย่างปลอดภัย แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าจำนวนผู้ป่วยใหม่ต่อวัน “ต้องลดลงอย่างต่อเนื่อง” เป็นเวลา 14 วันติดต่อกันก่อนเริ่มการผ่อนผัน

นพ.เฟาซี กล่าวต่อไปว่า หากชุมชน รัฐหรือภูมิภาคแห่งใดปฏิเสธแนวทางของส่วนกลางแล้วผ่อนปรน หรือถึงขั้นยุติมาตรการล็อกดาวน์ตามแนวทางของตัวเอง มีความเสี่ยงสูงที่จะต้องเผชิญกับผลกระทบ “ที่ร้ายแรงจนอาจไม่สามารถควบคุมได้อีก” โดยความเสี่ยงนั้นไม่เพียงแต่ส่งผลต่อชีวิตของประชาชนจำนวนมาก แต่ยังจะทำให้เศรษฐกิจถอยหลังมากขึ้นไปอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม นพ.เฟาซี “เข้าใจ” แรงกดดันมหาศาลของภาคธุรกิจที่ถาโถมโจมตีรัฐบาลทรัมป์ เนื่องจากอัตราว่างงานสะสมของชาวอเมริกันตั้งแต่กลางเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา พุ่งสูงกว่า 30 ล้านคน ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

เกี่ยวกับประเด็นการใช้ยาเรมเดซิเวียร์ ซึ่งเป็นยาต้านเชื้อไวรัสที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ( เอฟดีเอ ) อนุมัติให้เป็นกรณีพิเศษเพื่อใช้รักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 นั้น นพ.เฟาซีย้ำว่าผลงานวิจัยของเขาและทีมงาน “ยังอยู่ในขั้นพื้นฐาน” และการใช้ยาดังกล่าวอนุญาตเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการหนักเท่านั้น อาทิ ออกซิเจนในเลือดต่ำ ทั้งนี้ นพ.เฟาซีมองการใช้พลาสมาจากผู้ที่หายป่วยแล้วเพื่อรักษาผู้ที่ยังป่วย คือหนทางที่ทุกประเทศน่าจะใช้กันเป็นวงกว้างเพราะมีความปลอดภัยที่สุด.

เครดิตภาพ : REUTERS

CR: เดลินิวส์