อาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2563 เวลา 13.40 น. เดลินิวส์

อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบาามา วิจารณ์การบริหารจัดการวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าเป็น ” หายนะครั้งใหญ่”
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 10 พ.ค.โดยอ้างจากรายงานของยาฮูนิวส์ซึ่งเป็นสื่อแรกที่เผยแพร่เทปบันทึกเสียง อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ร่วมการประชุมแบบทางโทรศัพท์ของ “สมาคมศิษย์เก่าโอบามา” เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่่ผ่านมา ซึ่งเป็นการรวมตัวของบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐทุกระดับซึ่งเคยร่วมงานกับโอบามา ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐ โดยโอบามาเรียกร้องสมาชิกของสมาคมซึ่งมีประมาณ 3,000 คน ร่วมกันสนับสนุนอดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไปที่จะเกิดขึ้นในเดือนพ.ย.นี้
ทั้งนี้ โอบามากล่าวว่าการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่ใช่เพียงการแข่งขันระหว่างพรรคหรือระหว่างบุคคล แต่เป็นการต่อสู้กับความแตกแย่ง ความเห็นแก่ตัว และการปลุกระดมความเกลียดชังที่เกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลานาน อดีตผู้นำสหรัฐ 2 สมัยกล่าวต่อไปว่า การที่แนวคิดดังกล่าวฝังรากลึก เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้การตอบสนอง ต่อวิกฤติซึ่งกำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน “เบาบางและไม่สม่ำเสมอ”
โอบามากล่าวด้วยว่า จริงอยู่ที่วิกฤติด้านสาธารณสุขครั้งนี้เป็นเรื่องยากลำบาก “แม้กับรัฐบาลที่ดีที่สุด” แต่การที่กรอบความคิดแบบนี้ยังคงฝังรากลึกอยู่ในรัฐบาลสหรัฐชุดปัจจุบัน ทำให้วิกฤติครั้งนี้บานปลาย “เป็นหายนะครั้งใหญ่” และคือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดเขาจึงต้องเคลื่อนไหวเพื่อให้ไบเดนชนะการเลือกตั้ง และเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนต่อไป
แม้อดีตผู้นำสหรัฐไม่ได้กล่าวโดยตรงถึงมาตรการจัดการกับโรคโควิด-19 ในสหรัฐ แต่หลายฝ่ายตีความไปในทางเดียวกันว่าหมายถึงเรื่องนี้ ซึ่งนางเคย์ลีห์ แมคอีแนนีย์ โฆษกหญิงประจำทำเนียบขาว กล่าวว่านโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการตอบสนองต่อโรคโควิด-19 “ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” และ “รักษาชีวิตของชาวอเมริกันได้เป็นจำนวนมาก”
อนึ่ง ทรัมป์วิจารณ์นโยบายหลายเรื่องของอดีตรัฐบาลโอบามา เมื่อช่วงแรกของการรับตำแหน่ง แม้ช่วงหลังลดลงแต่ยังคงกล่าวถึงเป็นระยะ ส่วนผลสำรวจความคิดเห็นจากสำนักโพลหลายแห่งให้ทรัมป์และไบเดนยังมีความนิยมสูสีกัน แต่หากวิเคราะห์ออกเป็นรายพื้นที่ พบว่าไบเดนมีคะแนนนำในกลุ่มรัฐที่เป็นสวิงสเตท.
เครดิตภาพ : REUTERS
CR: เดลินิวส์
