พฤหัสบดีที่ 23 เมษายน 2563 เวลา 10.57 น. เดลินิวส์

องค์การอนามัยโลกกล่าวว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จะอยู่ร่วมกับมนุษย์ “อีกนาน” และเตือนว่าสถานการณ์ตอนนี้ “แค่เริ่มต้น” ดังนั้น “จะพลาดไม่ได้”
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ว่านพ.เทดรอส แอดนาฮอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก ( ดับเบิลยูเอชโอ ) แถลงเมื่อวันพุธ เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ว่าโรคดังกล่าวจะยังอยู่ร่วมกับมนุษย์ “อีกนาน” หมายความว่าหนทางสู่การมีชัยชนะเหนือโรคนี้ “ยังอีกยาวไกล” ดังนั้นการดำเนินงานของทุกฝ่าย “จะผิดพลาดไม่ได้”
นพ.เทดรอสกล่าวว่า ประเทศส่วนใหญ่ยังอยู่ใน “ระยะแรก” ของการแพร่ระบาด ขณะที่บางประเทศซึ่งเผชิญกับการแพร่ระบาดเป็นกลุ่มแรกกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาด “ระลอกสอง” ด้านนพ.ไมเคิล ไรอัน ประธานโครงฉุกเฉินด้านสาธารณสุขของดับเบิลยูเอชโอ กล่าวถึงการกลับมาเปิดเส้นทางการบินพาณิชย์ระหว่างประเทศอีกครั้ง ว่าต้องมีการบริหารจัดการความเสี่ยงให้ดีควบคู่กันไปด้วย
ทั้งนี้ ดับเบิลยูเอชโอกำลังจับตาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในทวีปแอฟริกา ที่การระบาดแพร่ไปแล้วในอย่างน้อย 56 ประเทศและดินแดน มีผู้ป่วยสะสมรวมกันมากกว่า 25,000 คน และเสียชีวิตสะสมแล้วประมาณ 1,200 คน นพ.ไรอันกล่าวว่าสถานการณ์โรคโควิด-19 ในทวีปแอฟริกา “ยังแค่เริ่มต้น” และต้องเฝ้าระวังมากเป็นพิเศษ โดยสถิติผู้ติดเชื้อในโซมาเลียตอนนี้มีอย่างน้อย 286 คน แต่เพิ่มขึ้นเกือบ 300% ภายในเวลายังไม่ถึง 1 สัปดาห์
เกี่ยวกับประเด็นที่สหรัฐระงับงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงานของดับเบิลยูเอชโอ นพ.เทดรอสหวังว่ารัฐบาลวอชิงตันจะทบทวนเรื่องดังกล่าว ให้ภารกิจช่วยเหลือมนุษยชาติจากโรคร้ายขับเคลื่อนไปได้ต่อไปอย่างราบรื่น และทิ้งท้ายว่าการประกาศให้โรคโควิด-19 “เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ” เมื่อวันที่ 30 ม.ค. และตามด้วยการเป็น “โรคระบาดใหญ่” เมื่อวันที่ 11 มี.ค. เป็นการประเมินสถานการณ์อย่างเหมาะสมที่สุดแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการประกาศเมื่อปลายเดือนม.ค. นั้น “ผู้ป่วยนอกจีนยังมีไม่ถึง 100 คน และยังไม่มีใครเสียชีวิต”
ในอีกด้านหนึ่ง นายเจเรมี ฟาร์ราร์ ผู้อำนวยการกองทุนระหว่างประเทศด้านสุขภาพ “เวลล์คัม ทรัสต์” กล่าวว่าในที่สุดมนุษย์ต้องแสวงหาหนทางที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโรคโควิด-19 ซึ่งไม่ใช่เชื้อโรคที่ “อุบัติขึ้น แพร่ระบาด แล้วหายไป” โดยจะไม่กลับมาอีก.
เครดิตภาพ : REUTERS
CR: เดลินิวส์
