อาเบะขยายภาวะฉุกเฉินโควิด แจกเงินคนญี่ปุ่น3หมื่นบ.

ศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563 เวลา 07.18 น. เดลินิวส์

นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ยกระดับสถานการณ์ฉุกเฉินจากโรคโควิด-19 ให้ครอบคลุมทุกจังหวัดในญี่ปุ่น และเตรียมมอบเงินเยียวยาประชาชนคนละ 30,000 บาท

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 17 เม.ย.ว่านายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ แถลงเมื่อคืนวันพฤหัสบดี ยกระดับการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินให้ครอบคลุมทั้ง 47 จังหวัดทั่วประเทศ จากเดิมที่ครอบคลุม 7 จังหวัดรวมกรุงโตเกียว ซึ่งอยู่ภายใต้คำสั่งดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ผู้นำญี่ปุ่นกล่าวว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไม่ได้ครอบคลุมเฉพาะในกรุงโตเกียวและพื้นที่ใกล้เคียงอีกต่อไป แต่ยังขยายขอบเขตไปยังจังหวัดขนาดใหญ่อีกหลายแห่ง รวมถึงฮอกไกโด เกียวโต ไอจิ และกิฟุ ขณะเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุขยังตรวจพบการแพร่ระบาดของโรคแบบเป็นกลุ่มก้อนในต่างจังหวัด ซึ่งมีประชาชนจากเมือใหญ่ย้ายเข้าไปอาศัย

ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงต้องยกระดับคำสั่งสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาดของโรคในส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งญี่ปุ่นกำลังจะเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวที่กำลังจะมาถึง ในช่วงปลายเดือนเม.ย.ถึงต้นเดือนพ.ค. ผู้นำญี่ปุ่นขอความร่วมมือจากรัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละจังหวัด ให้กำหนดมาตรการจำกัดการออกนอกเคหสถานของประชาชนทั้งในพื้นที่และการข้ามพรมแดนทั้งภายในจังหวัด และระหว่างจังหวัดอื่น และการเพิ่มระยะห่างทางสังคม ซึ่งเป็นกลไกสนับสนุนมาตรการควบคุมโรคที่สำคัญ เพื่อช่วยให้การยกเลิกคำสั่งเป็นไปตามกำหนด คือในวันที่ 6 พ.ค.นี้

ขณะเดียวกัน อาเบะยังเผยแผนมอบความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจให้กับ “ชาวญี่ปุ่นทั้ง 126 ล้านคน” ซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤติโรคระบาดครั้งนี้ ที่จะเป็นการมอบเงินเยียวยาครั้งเดียวคนละ 100,000 เยน ( ราว 30,229.8 บาท ) โดยไม่มีเงื่อนไขใดทั้งสิ้น

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของผู้นำญี่ปุ่นเกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่สมาคมแพย์ 2 แห่งในประเทศออกแถลงการณ์เตือนรัฐบาล ว่าระบบสาธารณสุขในประเทศ “กำลังอยู่บนปากเหวของความล่มสลาย” จากการที่โรงพยาบาลไม่สามารถดูแลคนไข้ที่ไม่ได้ป่วยจากโรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่บุคลาการแพทย์ในภารกิจโรคระบาดครั้งนี้ ขาดแคลนอุปกรณ์การแพทย์อย่างหนัก จนนายกเทศมนตรีเมืองโอซากาประกาศขอรับบริจาคเสื้อกันฝนเพื่อใช้เป็นชุดป้องกันส่วนบุคคล ( พีพีอี ) ให้กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข.

เครดิตภาพ : REUTERS

CR:เดลินิวส์