เสาร์ที่ 7 มีนาคม 2563 เวลา 07.26 น. เดลินิวส์

รัฐบาลโซลระงับการยกเว้นตรวจลงตราให้กับพลเมืองญี่ปุ่น ตอบโต้อีกฝ่ายใช้มาตรการกักตัวบุคคลเดินทางมาจากเกาหลีใต้ เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ด้านองค์การอนามัยโลกวอนทั้งสองประเทศอย่าทะเลาะกัน
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 7 มี.ค. ว่านายโช เซ-ยอง รมช.กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ แถลงว่านับตั้งแต่วันจันทร์ที่ 9 มี.ค. นี้เป็นต้นไป รัฐบาลโซลระงับนโยบายยกเว้นการตรวจลงตราให้กับผู้ถือหนังสือเดินทางของญี่ปุ่น การยกระดับคัดกรองบุคคลทุกสัญชาติซึ่งเดินทางมาจากญี่ปุ่น และลดจำนวนสนามบินที่เครื่องบินโดยสารของญี่ปุ่นสามารถลงจอดได้
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวถือเป็น “การเผชิญหน้า” กับมาตรการกักบริเวณ 14 วัน ที่ญี่ปุ่นเตรียมบังคับใช้กับผู้ที่เดินทางจากมาจากเกาหลีใต้ ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 9 มี.ค. และมีผลในเบื้องต้นถึงสิ้นเดือนเดียวกัน แต่ผู้ถือหนังสือเดินทางจีนจะได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวด้วย ปัจจุบันผู้ถือหนังสือเดินทางของญี่ปุ่นได้รับการยกเว้นตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวเป็นเวลานานสูงสุด 90 วันในเกาหลีใต้
ขณะเดียวกัน นายโชย้ำ “ความเสียใจอย่างมาก” ของรัฐบาลโซลต่อการที่ญี่ปุ่นประกาศมาตรการจำกัดการเดินทางก่อน “โดยไม่มีเหตุผล” และ “เกินกว่าเหตุ พร้อมทั้งเรียกร้องอีกฝ่าย “ทบทวน” เรื่องนี้ ซึ่งเป็นท่าทีเดียวกับที่นางคัง คยอง-ฮวา รมว.กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ แสดงต่อนายโทจิ โทมิตะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำกรุงโซล ระหว่างพบหารือกันเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
แม้รัฐบาลโตเกียวยังไม่มีปฏิกิริยาอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับ “มาตรการตอบโต้” ของเกาหลีใต้ อย่างไรก็ตาม โคเรียนแอร์ซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติของเกาหลีใต้ และเอเชียนา แอร์ไลน์ส ซึ่งเป็นสายการบินเอกชนขนาดใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ “ตอบสนอง” ต่อการปรับเปลี่ยนนโยบายของรัฐบาลโซล ด้วยการลดจำนวนเที่ยวบินระหว่างญี่ปุ่น และซูเปอร์ จูเนียร์ หนึ่งในบอยแบนด์แถวหน้าของวงการเค-ป็อป ประกาศเลื่อนกำหนดการแสดงคอนเสิร์ตในญี่ปุ่น
ส่วนนพ.เทดรอส แอดนาฮอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก ( ดับเบิลยูเอชโอ ) เรียกร้องญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ “ไม่ควรเชื่อมโยง” ประเด็นทางการเมืองกับวิกฤติด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ โดยทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่นอยู่ในกลุ่มประเทศวิกฤติลำดับต้นจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ “โควิด-19”.
เครดิตภาพ : REUTERS
CR: เดลินิวส์
